เชื่อว่าเจ้าของรถหลายท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่า “เคลือบเซรามิก” มาบ้างไม่มากก็น้อย และคงสงสัยว่าการเคลือบเซรามิกนั้นคืออะไร แตกต่างจากการเคลือบแก้วตรงไหนบ้าง วันนี้ Nissan SMT จึงได้รวบรวมความรู้ดี ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาฝาก โดยการเคลือบเซรามิกจะมีความคุ้มค่าและดีกว่าการเคลือบแก้วหรือไม่ เราไปดูพร้อม ๆ กันเลยครับ

เคลือบเซรามิกคืออะไร

เคลือบเซรามิกคืออะไร

การเคลือบเซรามิกคือเทคโนโลยีการปกป้องผิวรถยนต์โดยใช้น้ำยาที่มีส่วนผสมของเซรามิก SiO2 เคลือบบนผิวรถ ทำให้เกิดเป็นชั้นฟิล์มใสที่แข็งแรงทนทาน ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันคอยปกป้องสีรถจากรอยขีดข่วน คราบสกปรก ฝุ่นละออง ขี้นก ยางไม้ หรือรังสียูวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้สีรถมีความเงางาม คงทน ทำความสะอาดง่าย และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากกว่าปกติ

ข้อดีของการเคลือบเซรามิก

  • เพิ่มความเงางาม ช่วยให้สีรถดูเงางาม ฉ่ำวาว ดูสวยเหมือนรถใหม่
  • ป้องกันรอยขีดข่วน ช่วยลดการเกิดรอยขีดข่วนเล็ก ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากฝุ่น เศษหินดินทราย หรือแม้กระทั่งรอยนิ้วมือ
  • ป้องกันคราบสกปรก ช่วยให้คราบสกปรกเกาะติดยาก อีกทั้งยังทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น
  • ป้องกันแสงแดด ช่วยป้องกันสีรถซีดจาง จากแสงแดดและรังสียูวี
  • เพิ่มความทนทาน การเคลือบเซรามิกจะช่วยเพิ่มความทนทานต่อสารเคมีและความร้อนได้ในระดับหนึ่ง

ข้อเสียของการเคลือบเซรามิก

  • ราคาสูง การเคลือบเซรามิกมีราคาค่อนข้างสูง ทำให้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก
  • ต้องอาศัยช่างผู้ชำนาญ การเคลือบเซรามิกต้องอาศัยช่างผู้ชำนาญในการทำงาน แนะนำให้เลือกอู่หรือศูนย์ที่ไว้ใจได้น่าเชื่อถือ
  • ใช้เวลานาน การเคลือบเซรามิกใช้เวลานาน จำเป็นต้องวางแผนการใช้รถให้ดี
  • ไม่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนขนาดใหญ่ได้ แม้การเคลือบเซรามิกจะช่วยป้องกันรอยขีดข่วน แต่มันก็ไม่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนขนาดใหญ่ได้
  • ไม่สามารถป้องกันคราบฝังลึก การเคลือบเซรามิกไม่สามารถป้องกันคราบฝังลึกได้
  • ต้องดูแลรักษา หลังจากนำรถไปเคลือบเซรามิกแล้ว เจ้าของรถจำเป็นต้องหมั่นดูแลรักษารถอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ

ความแตกต่างของการเคลือบเซรามิกและการเคลือบแก้ว

ความแตกต่างของการเคลือบเซรามิกและการเคลือบแก้ว

1. สารที่ใช้เคลือบ

  • การเคลือบแก้ว: ใช้สารเคลือบที่ประกอบด้วยซิลิกอนไดออกไซด์ (SiO2) เป็นหลัก
  • การเคลือบเซรามิก: ใช้สารเคลือบที่ประกอบด้วยซิลิกอนไดออกไซด์ (SiO2) ผสมกับอนุภาคเซรามิก เช่น ซิลิกอนคาร์ไบด์ (SiC)

2. คุณสมบัติ

  • การเคลือบแก้ว
    • ให้ความเงางามระดับปานกลาง
    • ทนทานต่อรอยขีดข่วนระดับปานกลาง
    • ป้องกันคราบสกปรก น้ำ ฝุ่นละออง
    • อายุการใช้งาน 1-3 ปี
    • ราคาเริ่มต้นประมาณ 5,000 บาท
  • การเคลือบเซรามิก
    • ให้ความเงางามสูง
    • ทนทานต่อรอยขีดข่วนสูง
    • ป้องกันคราบสกปรก น้ำ ฝุ่นละออง รังสียูวี
    • อายุการใช้งาน 3-5 ปี
    • ราคาเริ่มต้นประมาณ 15,000 บาท

3. ขั้นตอนการเคลือบ

  • การเคลือบแก้ว: ขั้นตอนค่อนข้างง่าย ใช้เวลาประมาณ 4-8 ชั่วโมง
  • การเคลือบเซรามิก: ขั้นตอนค่อนข้างซับซ้อน ใช้เวลาประมาณ 8-12 ชั่วโมง

4. การดูแลรักษา

  • การเคลือบแก้ว: ดูแลรักษาง่าย เพียงล้างรถด้วยน้ำยาล้างรถทั่วไป
  • การเคลือบเซรามิก: ต้องการการดูแลรักษาที่พิเศษกว่า ควรใช้น้ำยาล้างรถสำหรับรถที่เคลือบเซรามิกโดยเฉพาะ

สรุป เคลือบเซรามิกกับเคลือบแก้ว แบบไหนดีกว่ากัน

หากจะให้สรุปว่าระหว่างการเคลือบเซรามิกกับการเคลือบแก้ว แบบไหนดีและคุ้มค่ามากกว่ากัน ในทางเทคนิคแล้วการเคลือบเซรามิกสามารถปกป้องสีรถได้ดีกว่า และยังทำให้รถดูเงางามมากกว่าการเคลือบแก้ว แต่ทั้งนี้การเคลือบเซรามิกมีค่าใช้จ่ายในการทำมากกว่า อีกทั้งยังมีขั้นตอนการดูแลรักษาที่ยุ่งยากกว่า ดังนั้นเจ้าของรถจึงควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ เช่น งบประมาณ รุ่นรถ ประเภทรถ หรือลักษณะการใช้งานก่อนตัดสินใจ เพื่อให้ได้สิ่งที่เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุดนั่นเอง

อ่านมาถึงตรงนี้ทุกคนคงจะทราบกันแล้วนะครับว่าการเคลือบเซรามิกคืออะไร แตกต่างกับการเคลือบแก้วอย่างไร หวังว่าข้อมูลทั้งหมดที่เรารวบรวมมานี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ และอย่าลืมว่าเมื่อไหร่ที่รถยนต์มีอาการผิดปกติจนไม่สามารถใช้งานได้เหมือนเคย เราควรนำรถเข้าตรวจเช็กสภาพที่อู่หรือศูนย์บริการ เพื่อตรวจสอบอาการสึกหรอของชิ้นส่วนภายในที่อาจเกิดขึ้น หากมีปัญหาหรือมีอะไรที่ต้องรีบแก้ไข เราจะได้ซ่อมแซมและเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ได้อย่างทันท่วงทีครับ อย่างไรก็ดี สำหรับลูกค้า Nissan SMT คุณสามารถขับรถเข้ามาเช็กอาการได้ที่ศูนย์นิสสัน SMT Thailand ทุกสาขา เรามีช่างผู้ชำนาญพร้อมให้บริการและให้คำปรึกษาทุกเรื่องเกี่ยวกับเครื่องยนต์

ขอบคุณข้อมูลจากautospinn