เมื่อเรามีการซื้อรถยนต์มาใช้เพื่อการขับขี่โดยสาร และมีการใช้งานไปในระยะเวลาหนึ่งแล้ว มักจะมีคำพูดจากเพื่อนรอบตัวว่าไปเช็กระยะหรือยัง ขับมาเท่านี้ถึงรอบเช็กระยะแล้วนะ หลายคนอาจตื่นตระหนกกับถาม และกังวลว่าจะต้องทำอย่างไร บางคนจึงรีบเข้าศูนย์เพื่อไปเช็กระยะ บางคนก็ละเลยเรื่องนี้ไป สำหรับวันนี้ศูนย์นิสัน SMT มีคำแนะนำในการเช็กระยะมาฝากว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไรมาฝากมาดูกันว่าเมื่อไหร่ควรที่จะต้องเข้าไปเช็กระยะรถ และจะเช็กระยะรถต้องทำอย่างไรบ้าง

เราควรนำรถเข้าไปเช็กระยะเมื่อไหร่ดี ??

หลายคนที่พึ่งออกรถใหม่มาคงกำลังสงสัยว่าเราควรที่จะนำรถของเราเข้าไปเช็กระยะเมื่อไหร่หรือตอนไหนดีวันนี้เรามาไขข้อสงสัยกัน โดยการเช็กระยะรถนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกันนั้นก็คือ 

  • การเช็กระยะจากระยะเวลา (เริ่มนับตั้งแต่วันออกรถ) 

การเช็กระยะจากระยะเวลาการใช้งานจะมีรอบระยะเวลาในการเช็กคือ ตั้งแต่ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน หรือระยะเวลาประมาณ 12 เดือน หลังออกรถ ซึ่งในแต่ละระยะเวลาครบรอบจะมีจุดเช็กของแต่ละระยะเวลาว่าจะต้องมีการเช็กสภาพรถในจุดไหนบ้างตามข้อมูลที่ทางศูนย์กำหนด

  • การเช็กระยะจากระยะทาง (เลขไมล์ที่วิ่งใช้งานไป) 

การเช็กระยะจากระยะทางโดยดูจากเลขไมล์ที่ใช้งานจะดูอยู่ที่ระยะไมล์ที่ 1,500 กิโลเมตร  5,000 กิโลเมตร 10,000 กิโลเมตร 20,000 กิโลเมตร 40,000 กิโลเมตร 60,000 กิโลเมตร และ 100,000 กิโลเมตร ซึ่งในแต่ละระยะไมล์จะมีเช็คลิสต์ในการตรวจเช็กที่ต่างกันออกไปตามข้อมูลที่ทางศูนย์กำหนด

 

โดยทั้งสองจะดูจากลักษณะการใช้งาน หากคุณมีการใช้งานรถที่ไม่มากสามารถคิดจากระยะเวลา แต่หากคุณใช้รถเป็นประจำและบ่อยครั้งก็สามารถคิดตามระยะทางที่ใช้เลขไมล์ในการขับขี่เป็นตัววัด

 

แต่ละจุดเช็กระยะต้องเช็กอะไรเป็นพื้นฐานบ้าง

 

เช็กระยะเลขไมล์ที่ 1,500 กิโลเมตร หรืออายุรถ 1 เดือน

  • เช็กความสะอาดของขั้วแบตเตอรี่ 

เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกที่อาจทำให้ไฟจากแบตเตอรี่ไหลผ่านไม่สะดวก ที่อาจส่งผลให้ให้รถสตาร์ทยาก ไดชาร์จชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ได้น้อย และแบตเตอรี่จ่ายไฟได้ไม่สม่ำเสมอ

  • เช็กสภาพท่อน้ำหล่อเย็น 

เพื่อให้ระบบระบายความร้อนทำงานได้ดีป้องกันปัญหาเครื่องร้อนที่อาจทำให้เครื่องยนต์น็อคได้

  • เช็กการสึกของยาง 

เพราะร่องดอกยางโดยปกติจะสึกเท่ากันทั้งเส้น หากยางมีการสึกที่ไม่เท่ากัน อาจเป็นสัญญาณว่าเราอาจจะเติมลมผิด ศูนย์ของรถผิดเพี้ยนไป หรือจากปัญหาอื่น ๆ ได้

  • เช็กระดับน้ำมันเบรก

เพื่อดูว่ามีการรั่วของน้ำมันเบรกออกจากระบบเบรก หรือการสึกหรอของผ้าเบรกหรือไม่

  • เช็กฝาหม้อน้ำ

เพื่อดูว่าฝาหม้อน้ำมีสภาพที่สมบูรณ์ดีอยู่หรือไม่ เพราะฝาหม้อน้ำ เป็นอุปกรณ์ควบคุมแรงดันภายในหม้อน้ำให้มีความคงที่ หากฝาหม้อชำรุดอาจส่งผลต่อสาเหตุความร้อนสูงได้

 

เช็กระยะเลขไมล์ที่ 5,000 กิโลเมตร หรืออายุรถ 3 เดือน

  • เช็กสายพานและระดับความตึง

เพื่อบำรุงรักษาประสิทธิภาพการส่งกำลังของสายพาน หากสายพานหย่อนเกินไป หรือตึงเกินไปอาจส่งผลต่อการทำงาน เช่น สายพานหย่อนจนหลุด หรือตึงไปจนขาด 

  • เช็กความสะอาดกรองอากาศ

เมื่อมีการใช้งานไประยะเวลาหนึ่งตัวกรองอากาศจะมีฝุ่นสะสมและเริ่มอุดตันทำให้อากาศไหลเข้าสู่เครื่องยนต์ได้ไม่สะดวก เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น รอบช้าลงและมีควันดำเพิ่มขึ้นเพื่อทำให้กระบวนการสันดาปเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ เครื่องยนต์เร่งง่าย ควันไม่ดำ ควรดูแลรักษาและตรวจเช็กสภาพตัวกรองอากาศให้สะอาดอยู่เสมอ

  • เช็กการทำงานของหัวฉีด

เพื่อให้ละอองฝอย การเผาไหม้สมบูรณ์ ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงยืดอายุการใช้งานของหัวฉีด การเช็กหัวฉีดและทำความสะอาดไม่ให้มีสิ่งสกปรกอุดตัน จะช่วยลดการสึกหรอของอุปกรณ์ ให้สามารถใช้งานนานขึ้นไม่ต้องเปลี่ยนหัวฉีดใหม่ ลดเขม่า ควันดำไม่ทำให้เกิดมลพิษ

  • เช็กทำความสะอาดของคอยล์ร้อน

สาเหตุที่ทำให้แอร์รถยนต์ไม่เย็นส่วนใหญ่ ได้แก่ ระบบปรับอากาศของรถยนต์เกิดจากการทำงานของแผงคอยล์ร้อนระบายความร้อนทำงานได้ไม่เพียงพอเพราะมีสิ่งสกปรกดังนั้นควรมีการตรวจเช็กทำความสะอาดเพื่อให้คอยล์ร้อนทำงานได้ดี

 

เช็กระยะเลขไมล์ที่ 5,000 – 10,000 กิโลเมตร หรือในระยะเวลา 6 เดือน

  • เช็กน้ำมันหล่อลื่น 

ดูระดับความสม่ำเสมอของน้ำมันเครื่องและสีน้ำมันเครื่องเพราะสีจะบ่งบอกถึงปัญหาของเครื่องยนต์ได้ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันหล่อลื่นจะช่วยให้สมรรถนะของรถดีขึ้น

 

เช็กระยะเลขไมล์ที่ 10,000 กิโลเมตร หรืออายุรถครบ 6 เดือน

  • เช็กพื้นยางล้อหน้ากับล้อหลัง 

อาจสับเปลี่ยนตำแหน่งของยาง เพื่อทำให้ยางแต่ละเส้นสึกเสมอกัน

  • เช็กความลึกของดอกยาง

ควรมีการตรวจสอบความลึกของดอกยาง เพราะดอกยางจะช่วยรีดน้ำลื่นเมื่อขับรถบนถนนที่มีลักษณะเปียกหรือเมื่อฝนตกและลดระยะเบรกได้

  • เช็กระดับน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ

เช็กสภาพน้ำมันเกียร์เพื่อให้เกียร์ทำงานได้ดีและให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

  • สภาพเบรคก

เบรกต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้ไม่สึกหรอเพราะเบรกรถยนต์เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความปลอดภัยในระหว่างขับขี่ 

 

เช็กระยะเลขไมล์ที่ 20,000 กิโลเมตร

  • เช็กระยะช่องว่างของวาล์ว

ระยะช่องว่างระหว่างกระเดื่องวาล์วกับก้านวาล์วหากห่างมากเกินไปจะทำให้มีเสียงดังรบกวนและส่งผลต่อกำลังของรถได้

  • เช็กสายหัวเทียน

ควรมีการเช็กสายหัวเทียนเมื่อมีระยะการขับที่มากขึ้น เพระาในบางกรณีที่กรณีเครื่องสะดุด เดินไม่เรียบ อาจมีปัญหามาจากสายหัวเทียนได้

  • เช็กฝาครอบจานจ่ายและหัวโรเตอร์

ฝาครอบจานจ่ายและหัวโรเตอร์เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่ใช้ในการจุดเชื้อเพลิงและให้กำลังแก่เครื่องยนต์ ควรตรวจเมื่อถึงระยะการขับขี่ที่มากขึ้นเพื่อให้การจุดเชื้อเพลิงทำงานได้ดี

  • ล้างหม้อน้ำ

เมื่อเรามีการใช้งานและการขับขี่รถมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ควรมีการล้างหม้อน้ำเพื่อล้างคราบสกปรกหรือตะกอนที่สะสม ช่วยให้หม้อน้ำไม่ตันระบายความร้อนได้ดีขึ้น ช่วยยืดอายุการใช้งาน

  • เช็กน้ำหล่อเย็น

น้ำหล่อเย็นถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ความร้อนคงที่หากระบบระบายความร้อนไม่ดีอาจทำให้รถปัญหาความร้อนได้

  • เช็กหัวเทียน

หัวเทียนจะมีอายุการใช้งานที่ 20,000-40,000 กิโลดังนั้นแล้วควรที่จะมีการเช็กและเปลี่ยนหัวเทียนเมื่อถึงระยะรอบเวลา

 

เช็กระยะเลขไมล์ที่ 40,000 กิโลเมตร หรืออายุรถประมาณ 2 ปี

  • เช็กสายพาน

สายพานเป็นหนึ่งระบบที่มีการทำงานอยู่แทบตลอดเวลาในการขับขี่ การตรวจเช็กสายพานเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำเสมอ สายพานที่ดีไม่ควรตึงหรือหย่อนจนเกินไป 

  • เช็กใบปัดน้ำฝน

เพื่อทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่ เราจึงควรหมั่นดูแลใบปัดน้ำฝนให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา

 

เช็กระยะเลขไมล์ที่ 60,000 กิโลเมตรขึ้นไป

  • เปลี่ยนสายหัวเทียน

ควรมีการเช็กสายหัวเทียนเมื่อมีระยะการขับที่มากขึ้น เพระาในบางกรณีที่กรณีเครื่องสะดุด เดินไม่เรียบ อาจมีปัญหามาจากสายหัวเทียนได้

  • เปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิง

กรองน้ำมันเชื้อเพลิงมีหน้าที่สำคัญคือ กรอง-ดักจับสิ่งสกปรก ทั้งฝุ่นผง เศษโลหะ ที่มาพร้อมกับน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อมีการใช้งานงานรถที่มากก็ควรที่จะเปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้ยังสามารถดักจับสิ่งสกปรกเข้าเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายกับชิ้นส่วนในระบบการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง 

 

ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่ของผู้ขับขี่และควรหมั่นตรวจสอบสภาพรถยนต์อยู่เสมอ ๆ

 

หากเกินกำหนดเช็กระยะการขับขี่จะเป็นอะไรไหม

แน่นอนว่ากำหนดการเช็กระยะขึ้นอยู่กับรูปแบบของการขับขี่ การกำหนดของผู้จำหน่าย รวมถึงประเภทของรถยนต์ โดยมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปทั้งการเช็กระยะจากระยะเวลา (เริ่มนับตั้งแต่วันออกรถ) การเช็กระยะจากระยะทาง (เลขไมล์ที่วิ่งใช้งานไป) ดังนั้นแล้วการเช็กระยะตรวจสภาพรถยนต์ควรที่จะอยู่ในรอบระยะเวลาที่กำหนดเพื่อให้การขับขี่และสมรรถนะรถยนต์ยังคงเต็มประสิทธิภาพ ป้องกันปัญหาของเครื่องยนต์หรืออะไหล่ชำรุดตามการใช้งาน

 

และหากใครที่กำลังมองหาศูนย์เช็กระยะรถ ที่ศูนย์นิสสัน SMT มีบริการเช็กระยะทันใจ (NISSAN EXPRESS SERVICE) บริการตรวจเช็กรถยนต์มาตรฐานตามระยะทาง พร้อมการบริการที่ได้มาตรฐาน เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ทำให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และสามารถกำหนดระยะเวลาส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้อย่างแม่นยำเพราะ “เวลาและความสะดวกสบายของลูกค้า” คือสิ่งที่นิสสันให้ความสำคัญแถม ฟรี!! บริการล้างรถ ดูดฝุ่น ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายในรถยนต์ 

บริการเช็กระยะทันใจ แบ่งออกเป็น 2 แบบดังนี้

  • เช็กระยะ 90 นาที สำหรับการเช็กระยะมาตรฐานทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร (ยกเว้นระยะทุก ๆ 40,000 กิโลเมตรและทุก ๆ 100,000 กิโลเมตร) และสำหรับรุ่นอัลเมร่า ใหม่ เช็กระยะมาตรฐานทุก ๆ 7,000 กิโลเมตร (ยกเว้นรอบระยะทุก ๆ 28,000 และทุก ๆ 70,000 กิโลเมตร)
  • เช็กระยะ 120 นาที สำหรับการเช็กระยะมาตรฐานทุก ๆ 40,000 กิโลเมตร และทุก ๆ 100,000 กิโลเมตร และสำหรับรุ่นอัลเมร่า ใหม่ เช็กระยะมาตรฐานทุก ๆ 28,000 กิโลเมตร และทุก ๆ 70,000 กิโลเมตร

 

หมายเหตุ เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัท ฯ กำหนด

แล้วพบกันที่ศูนย์บริการนิสสัน SMT ศรีนครินทร์ สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 

โทร : 02-722-8485 ถึง 6

มือถือ : 081-358-9414

Line ID : nissansmt

เปิดบริการ: วันจันทร์ ถึง วันอาทิตย์ 7.00 – 17.00 หยุดวันนักขัตฤกษ์