รถยนต์ประกอบไปด้วยเครื่องยนต์ต่าง ๆ มากมาย แต่รู้หรือไม่ว่าชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่สำคัญและสามารถปกป้องเครื่องยนต์ของคุณได้เป็นอย่างดี คือ ‘ไส้กรองอากาศ’ เพราะหากไส้กรองมีปัญหาและไม่ทำการเปลี่ยนใหม่ก็จะส่งผลต่อการเผาไหม้ รวมถึงทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ลดลงได้อย่างคาดไม่ถึง วันนี้เราจึงชวนทุกคนมาทำความรู้จักไส้กรองอากาศ และรวบรวมวิธีตรวจเช็กไส้กรองที่คุณสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตนเอง
ไส้กรองอากาศรถยนต์ คืออะไร?
ไส้กรองอากาศรถยนต์ (Air Filter) คือ ชิ้นส่วนที่สำคัญของรถยนต์ มีหน้าที่ช่วยดักจับฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ไม่ให้เข้าไปอุดตันในห้องเผาไหม้เชื้อเพลิงของรถยนต์ ซึ่งหากสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ เข้าไปสะสมเป็นจำนวนมาก อาจทำให้เครื่องยนต์สึกหรอได้ รวมถึงเกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ เป็นสาเหตุให้มีอัตราการเร่งของเครื่องยนต์ลดลง และส่งผลให้เครื่องยนต์มีอายุการใช้งานสั้นลงกว่าที่ควรด้วย
ไส้กรองอากาศรถยนต์ มีกี่ประเภท?
1. ไส้กรองอากาศชนิดแห้ง
ไส้กรองอากาศชนิดแห้งหรือที่บางคนเรียกว่าไส้กรองอากาศแบบกระดาษ เป็นประเภทของไส้กรองอากาศที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากสามารถดักจับฝุ่นละอองได้ดีและมีราคาถูก แต่ในข้อดีนั้นก็มีข้อเสียอยู่บ้าง เนื่องจากคุณสมบัติที่สะสมฝุ่นละอองได้ดี เป็นสาเหตุให้ไส้กรองอากาศเกิดคราบอุดตันได้ง่ายเช่นกัน และเมื่อไส้กรองสกปรกต้องถอดเปลี่ยนใหม่เท่านั้น ไม่สามารถถอดออกมาเพื่อล้างทำความสะอาดได้
2. ไส้กรองอากาศชนิดเปียก
ไส้กรองอากาศชนิดเปียก หรือเรียกอีกชื่อว่าไส้กรองแบบมีน้ำมัน เป็นไส้กรองอีกประเภทที่ดักจับฝุ่นละอองได้ดี มีลักษณะคล้ายไส้กรองอากาศแบบแห้ง แต่แตกต่างกันตรงที่มีน้ำมันหล่อเลี้ยงอยู่ด้านล่าง ไส้กรองอากาศชนิดนี้ จึงเหมาะกับรถยนต์ที่ต้องเผชิญกับฝุ่นละอองเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าไส้กรองชนิดแห้ง
3. ไส้กรองอากาศแบบสเตนเลส หรือไส้กรองเปลือย
ไส้กรองอากาศแบบสเตนเลสหรือไส้กรองเปลือย เป็นประเภทของไส้กรองที่มีราคาสูงกว่าไส้กรองอากาศแบบแห้งและแบบเปียก เนื่องจากวัสดุของไส้กรองประเภทนี้มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าประเภทอื่น นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยให้อากาศสามารถผ่านเข้าไปในห้องเผาไหม้เชื้อเพลิงได้ง่าย เหมาะกับเครื่องยนต์ที่ต้องการเพิ่มกำลังแรงม้า เช่น รถแข่ง หรือรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูง
วิธีการเปลี่ยนไส้กรองอากาศ มีขั้นตอนอย่างไร?
วิธีเปลี่ยนไส้กรองอากาศไม่ยากอย่างที่คิด เริ่มจากการเปิดฝากระโปรงรถยนต์ขึ้นมา จากนั้นให้มองหาหม้อกรองอากาศซึ่งอาจอยู่ติดกับลิ้นปีกผีเสื้อ หรืออยู่ในส่วนอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับเครื่องยนต์แต่ละรุ่น (ควรดูคู่มือชิ้นส่วนรถยนต์ที่ใช้เพื่อความถูกต้อง) ต่อมาให้แกะตัวล็อกบริเวณหม้อกรองเพื่อปลดฝาออกมา จะพบชิ้นส่วนของไส้กรองอากาศอยู่ด้านใน ควรดึงไส้กรองอากาศอันเก่าออกมาตรง ๆ และหากนำมาตรวจเช็กแล้วพบว่ายังไม่สกปรกมากมีคราบที่ยังทำความสะอาดได้ ให้นำออกมาเคาะหรือใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดเพื่อขจัดฝุ่นละอองที่ติดอยู่ แต่หากไส้กรองอากาศเริ่มมีสิ่งสกปรกสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก ควรถอดออกมาทิ้งและนำไส้กรองใหม่เข้าไปเปลี่ยน จากนั้นจึงปิดฝาหม้อกรองเข้าที่เดิม เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้น!
วิธีการตรวจสอบไส้กรองอากาศรถยนต์
ควรเริ่มต้นจากการสังเกตอาการภายนอกด้วยสายตา เช่น สีของแผ่นไส้กรองอากาศมีความซีดลงหรือเปล่า? อุปกรณ์มีรอยฉีกขาดหรือไม่ หากพบว่าไส้กรองอากาศชำรุดควรรีบเปลี่ยนทันที การตรวจสอบอีกวิธีหนึ่ง คือ การใช้ไฟหรือแสงส่องตัวไส้กรองอากาศ หากพบว่าแสงยังผ่านได้ แสดงว่าไส้กรองอากาศนั้นยังสามารถนำไปทำความสะอาด แล้วนำมาใช้งานต่อได้ แต่หากมีลักษณะเป็นสีทึบจนแสงผ่านไม่ได้ แปลว่ามีสิ่งสกปรกสะสมอยู่มากเกินไป ควรนำไส้กรองอากาศมาเปลี่ยนใหม่เพื่อความปลอดภัยของเครื่องยนต์
ไส้กรองอากาศรถยนต์มีอายุการใช้งานเท่าไร?
โดยทั่วไปควรตรวจสอบคุณภาพไส้กรองอากาศทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร และควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่เมื่อใช้งานเครื่องยนต์ครบ 20,000 กิโลเมตร หรือสูงสุดไม่เกิน 40,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน และปริมาณฝุ่นละอองในเครื่องยนต์ด้วย หากใช้งานรถยนต์อย่างหนัก เป็นสาเหตุให้ไส้กรองสะสมสิ่งสกปรกจำนวนมาก ก็อาจทำให้อายุการใช้งานของไส้กรองอากาศลดลงได้เช่นกัน
ทำไมถึงควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศรถยนต์?
“ไส้กรองอากาศ” เปรียบเสมือนจมูกของมนุษย์ ที่คอยดักจับฝุ่นละอองไม่ให้ผ่านเข้าไปในร่างกายของเรามากเกินไป ไส้กรองอากาศจึงเป็นส่วนประกอบสำคัญ ที่ช่วยป้องกันสิ่งสกปรกต่าง ๆ ไม่ให้เข้าไปสะสมภายในห้องเผาไหม้ การเปลี่ยนไส้กรองเป็นประจำตามอายุการใช้งาน จึงช่วยยืดอายุให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดีอย่างสม่ำเสมอ
หากรถไม่มีไส้กรองอากาศจะเกิดอะไรขึ้น?
หากใช้งานไส้กรองอากาศโดยไม่ได้ตรวจเช็กและเปลี่ยนใหม่ จะทำให้คราบฝุ่นต่าง ๆ เกาะตัวกันมากขึ้น ส่งผลให้เครื่องยนต์มีอัตราการเร่งน้อยลง กินน้ำมันมากขึ้น และทำให้อายุการใช้งานของเครื่องยนต์ลดลงด้วย นอกจากนี้สำหรับเครื่องยนต์บางชนิด หากไม่เปลี่ยนไส้กรองอากาศหรือไม่มีไส้กรอง จะทำให้ฝุ่นละอองเข้าไปสะสมที่เครื่องยนต์ เป็นเหตุให้เกิดเขม่าสีดำบริเวณท่อไอเสีย และอาจมีกลิ่นน้ำมันออกมาได้ เพราะเกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ อีกทั้งยังอาจส่งผลต่อสมรรถนะของเครื่องยนต์ในด้านอื่นด้วย เช่น สตาร์ตติดยาก หรือมีเสียงดังออกมา เป็นต้น
การเปลี่ยนไส้กรองอากาศเป็นประจำตามอายุการใช้งาน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากไส้กรองสะอาดและทำงานได้ดี ก็จะช่วยให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้อย่างเต็มสมรรถนะเช่นกัน อีกทั้งยังช่วยยืดอายุของเครื่องยนต์ไม่ให้สึกหรอก่อนเวลาอันควรอีกด้วย
สำหรับใครที่ต้องการตรวจเช็กสภาพรถ หรืออยากได้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องเครื่องยนต์สามารถเข้ามาใช้บริการได้ที่ ศูนย์ซ่อมนิสสัน ของ Nissan SMT ทุกสาขา เรามีช่างชำนาญการคอยตอบทุกปัญหาได้อย่างครบวงจร เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านมั่นใจในการขับขี่อย่างปลอดภัยตลอดทุกเส้นทาง