เมื่อพูดถึงระบบเบรก หลายคนอาจจะนึกถึงแค่การเหยียบเบรกเพื่อหยุดรถ แต่จริง ๆ แล้ว ระบบเบรกมีหลากหลายประเภท ซึ่งจะมีจุดเด่นและข้อดีเฉพาะตัวแตกต่างกันไป การทำความเข้าใจในระบบเบรกแต่ละแบบ ไม่เพียงช่วยให้เราขับขี่ได้ปลอดภัย แต่ยังทำให้เรารู้วิธีดูแล รวมถึงการใช้งานได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้นด้วย มาดูกันว่าระบบเบรกรถยนต์มีกี่ประเภท แต่ละแบบมีจุดเด่นอย่างไรบ้าง

ระบบเบรก คืออะไร มีหน้าที่อย่างไรบ้าง?

คือ ระบบช่วยหยุด หรือชะลอการเคลื่อนตัวของรถยนต์ ด้วยการใช้แรงต้านจากการเสียดทาน หรือพลังงานจากแหล่งอื่น ๆ เพื่อทำให้ล้อรถหยุดหมุน ระบบเบรกมีหน้าที่หลักในการลดความเร็วหรือหยุดรถ ให้หยุดนิ่งได้ตามต้องการ ซึ่งเป็นการควบคุมความเร็ว และรักษาความปลอดภัยในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการหยุดรถทันทีเมื่อมีการขัดข้อง หรือการลดความเร็ว เพื่อให้สามารถควบคุมรถได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การขับขี่ในทางลาดชัน หรือการขับรถในสภาพถนนที่ไม่ค่อยดี เป็นต้น

ความสำคัญของระบบเบรกรถยนต์

ระบบเบรกไม่เพียงทำให้รถหยุดได้ตามต้องการ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมความเร็ว ช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยยิ่งขึ้น ซึ่งระบบเบรกที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดความเสี่ยง จากการเกิดอุบัติเหตุ ทั้งยังเพิ่มความมั่นใจในการขับรถได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองหรือบนทางหลวง ความสำคัญของการบำรุงรักษาระบบเบรกให้มีประสิทธิภาพนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้

ระบบเบรกรถยนต์ มีกี่ประเภท?

สำหรับระบบเบรกรถยนต์นั้น มีหลายประเภท แต่หลัก ๆ แล้วสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ตามโครงสร้าง และวิธีการทำงาน ดังนี้ 

1. ดิสก์เบรก (Disc Brakes)

    หลักการทำงานของระบบเบรกแบบดิสก์เบรก

    ระบบเบรกที่ใช้จานเบรก หรือดิสก์เป็นส่วนสำคัญในการหยุดรถ โดยใช้คาลิปเปอร์เบรกที่มีผ้าเบรกกดลงบนดิสก์ เพื่อทำให้เกิดการเสียดทานและลดความเร็วของล้อ

    ข้อดี

    ดิสก์เบรกมีประสิทธิภาพในการหยุดรถสูง เนื่องจากการทำงานของระบบเบรก สามารถระบายความร้อนได้ดี ทำให้ไม่เกิดความร้อนสะสมสูง ส่งผลให้ประสิทธิภาพเบรกไม่ลดลงแม้จะใช้งานหนัก อีกทั้งระบบนี้ยังมีอายุการใช้งานยาวนาน สามารถใช้งานได้ดีในสภาพถนนและสภาพอากาศที่หลากหลาย

    ข้อเสีย

    ดิสก์เบรกจะมีราคาสูงกว่า เมื่อเทียบกับระบบเบรกประเภทอื่น เช่น ดรัมเบรก นอกจากนี้ยังต้องการ การบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเรื่องของการเปลี่ยนผ้าเบรกและดิสก์ ซึ่งหากไม่บำรุงรักษาอย่างดี อาจทำให้ประสิทธิภาพของเบรกลดลงได้

    2. ดรัมเบรก (Drum Brakes)

      ระบบเบรกชนิดหนึ่งที่ใช้ในรถยนต์ ส่วนใหญ่มักจะเห็นกันในรถยนต์รุ่นเก่า หรือรถยนต์ขนาดเล็กบางรุ่น มีลักษณะการทำงานและโครงสร้างที่แตกต่างจากดิสก์เบรก

      หลักการทำงานของระบบเบรกแบบดรัมเบรก

      เมื่อกดแป้นเบรก ผ้าเบรกจะขยายตัวเข้าหาดรัมที่หมุนตามล้อรถ ทำให้เกิดการเสียดทานสร้างแรงต้าน เพื่อลดความเร็วหรือช่วยให้ล้อหยุดหมุน ระบบนี้ทำงานในลักษณะของการผสานกัน ระหว่างแรงต้านจากผ้าเบรก กับแรงส่งจากการหมุนของล้อ

      ข้อดี

      ดรัมเบรกมีราคาที่ถูกกว่า เมื่อเทียบกับระบบดิสก์เบรก ทำให้เหมาะสำหรับการใช้ในรถยนต์ราคาประหยัด หรือใช้สำหรับล้อหลังของรถบางรุ่น นอกจากนี้ยังมีความทนทาน สามารถใช้งานได้ดีในสภาพการขับขี่ปกติ โดยไม่ต้องการประสิทธิภาพการเบรกสูงมาก

      ข้อเสีย

      ระบบดรัมเบรกมีข้อจำกัดเรื่องประสิทธิภาพในการเบรก เมื่อเทียบกับดิสก์เบรก เนื่องจากไม่สามารถระบายความร้อนที่เกิดจากการเสียดทานได้อย่างดี ทำให้ประสิทธิภาพของการเบรกอาจลดลงได้ หากมีการใช้งานหนักหรือระยะเวลานาน นอกจากนี้การบำรุงรักษา รวมถึงการเปลี่ยนผ้าเบรก ยังค่อนข้างยุ่งยากและต้องการความละเอียดในการดูแลรักษา

      ระบบเบรกเสริมอื่น ๆ

      นอกจากระบบเบรกหลักของรถยนต์แล้ว ยังมีระบบเบรกเสริมอื่น ๆ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่และเพิ่มความปลอดภัย ในกรณีหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือสถานการณ์ไม่คาดคิด โดยระบบเบรกเสริมเหล่านี้จะทำงานร่วมกับระบบเบรกหลัก เพื่อปรับปรุงการควบคุมรถยนต์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

      1. ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS)

        ABS หรือ Anti-lock Braking System เป็นระบบช่วยป้องกันไม่ให้ล้อรถยนต์ล็อก เมื่อทำการเบรกอย่างกะทันหัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทิศทางของรถได้ดีขึ้นในขณะเบรก เช่น ในกรณีถนนลื่น หรือในสถานการณ์ฉุกเฉิน

        2. ระบบช่วยเบรก (BA)

          Brake Assist หรือ BA เป็นระบบช่วยเพิ่มแรงเบรก ในขณะเกิดเหตุฉุกเฉิน ด้วยการตรวจจับการเหยียบเบรกที่เพิ่มขึ้นกว่าปกติ โดยระบบจะช่วยเพิ่มแรงเบรกอัตโนมัติ เพื่อให้หยุดรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ

          3. ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรก (EBD)

            ระบบ EBD (Electronic Brakeforce Distribution) เป็นระบบช่วยกระจายแรงเบรกอย่างเหมาะสม ระหว่างล้อหน้ากับล้อหลัง โดยพิจารณาจากน้ำหนักของผู้โดยสารหรือสัมภาระภายในรถ ระบบนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรก และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการเบรกที่ไม่สมดุล

            4. ระบบควบคุมการทรงตัว (ESC)

              ESC หรือ Electronic Stability Control คือ ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวของรถยนต์ ในขณะเข้าโค้งหรือขับขี่บนถนนลื่น ด้วยการตรวจจับ พร้อมปรับการทำงานของเครื่องยนต์และระบบเบรก ป้องกันไม่ให้รถเสียการควบคุม ลดความเสี่ยงจากการหมุน หรือการพลิกคว่ำของรถยนต์ในสถานการณ์อันตราย

              ระบบเบรกรถยนต์ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญ ในการเพิ่มความปลอดภัยระหว่างขับขี่ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ดิสก์เบรกกับดรัมเบรก ซึ่งแต่ละแบบมีจุดเด่นแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีระบบเสริมอื่น ๆ ได้แก่ ABS, BA, EBD, ESC ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรก และควบคุมรถได้ง่ายขึ้นหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุ เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ ฉะนั้นการดูแลรักษาระบบเบรกให้มีสภาพสมบูรณ์อยู่ตลอด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย

              หากใครกำลังมองหาบริการตรวจเช็กสภาพรถ ระบบเบรก หรือคำแนะนำเกี่ยวกับเครื่องยนต์ ที่ศูนย์นิสสันของเรา มีทีมช่างผู้เชี่ยวชาญคอยให้บริการแบบครบวงจร เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถของคุณจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยในทุกการเดินทาง