เชื่อว่าผู้ใช้งานรถมือใหม่หลายคนอาจจะเคยสงสัย ว่าการเติมลมยางนั้นต้องเติมครั้งละเท่าไหร่ถึงจะพอดี เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะมันส่งผลถึงความปลอดภัยโดยตรง ดังนั้นเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานรถยนต์ทุกท่าน เราจึงขอรวบรวมความรู้เกี่ยวกับการเติมลมรถเก๋ง มาให้เพื่อน ๆ ทุกคนได้ลองอ่านและศึกษากันดูครับ โดยจะมีรายละเอียดอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย!
เติมลมรถเก๋งเท่าไหร่ถึงจะพอดี?
แรงดันลมยางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเติมลมรถเก๋งนั้น จะอยู่ที่ประมาณ 30-32 PSI (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) สำหรับล้อหน้าและล้อหลัง แรงดันลมยางที่เหมาะสมนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาดและประเภทของรถ น้ำหนักบรรทุก และสภาพอากาศ สำหรับรถเก๋งขนาดเล็กที่บรรทุกน้ำหนักเบา แรงดันลมยางที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 25-30 PSI แต่ถ้าต้องบรรทุกน้ำหนักมากขึ้น เช่น กรณีที่มีผู้โดยสารเต็มทั้ง 5 ที่นั่ง หรือบรรทุกของด้านหลังจนเต็ม อาจเพิ่มปริมาณการเติมได้ถึง 33-35 PSI ตามความเหมาสมสม
ค่ามาตรฐานแรงดันลมยาง
ค่ามาตรฐานแรงดันลมยางจะระบุไว้ในคู่มือรถ ซึ่งค่าแรงดันลมยางจะขึ้นอยู่กับขนาดของยางและน้ำหนักบรรทุกของรถดังนี้
- รถยนต์ขนาดเล็ก จะอยู่ที่ประมาณ 25-30 PSI
- รถยนต์ขนาดกลาง จะอยู่ที่ประมาณ 30-35 PSI
- รถกระบะ (ไม่บรรทุก) จะอยู่ที่ประมาณ 35-40 PSI
- รถตู้บรรทุก 7-10 คน จะอยู่ที่ประมาณ 43-55 PSI
วิธีตรวจเช็กลมยางรถยนต์
- จอดรถในที่ร่มหรือในที่เย็น เพื่อให้ยางเย็นลงก่อนการเช็คลมยาง เพราะถ้ายางยังร้อนอยู่ จะทำให้ค่าแรงดันลมยางสูงกว่าความเป็นจริง
- เหมือนยางเย็นแล้วให้หาที่วัดลมยางมาเสียบเข้ากับก้านวาล์วของยางรถยนต์
- อ่านค่าแรงดันลมยางจากหน้าปัดแสดงผล
- หากค่าแรงดันลมยางต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่ระบุไว้ในคู่มือรถ ให้ใช้เครื่องเติมลมยางเติมลมเข้าไปเพิ่ม
- หากค่าแรงดันลมยางสูงกว่าค่ามาตรฐาน ให้ปล่อยลมยางออกจนกว่าค่าแรงดันลมยางจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม
ทำไมปริมาณลมยางถึงเป็นเรื่องสำคัญ
1. ความปลอดภัยในการขับขี่
การเติมลมรถเก๋งในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ยางรถยนต์เกิดการยึดเกาะถนนได้ดี ทำให้รถสามารถควบคุมได้ง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ปริมาณลมยางที่เหมาะสมยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้ด้วย เช่น ยางแตก ยางระเบิด หรือเสียการทรงตัวขณะขับขี่
- หากปริมาณลมยางอ่อนเกินไป จะทำให้ยางเกิดการยืดออกมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ยางแตกหรือระเบิดได้ โดยเฉพาะเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงหรือผ่านพื้นที่ที่เป็นหลุมเป็นบ่อ นอกจากนี้ยังทำให้การยึดเกาะถนนแย่ลง ทำให้รถควบคุมได้ยากขึ้นจนอาจเกิดเป็นอุบัติเหตุได้
- หากปริมาณลมยางแข็งเกินไป จะทำให้ยางเกิดการเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เนื่องจากยางมีการยืดหยุ่นที่น้อยลง นอกจากนี้ยังทำให้การยึดเกาะถนนแย่ลง โดยเฉพาะเมื่อต้องขับขี่บนถนนเปียกหรือถนนลื่น ซึ่งอาจทำให้รถลื่นไถลได้ง่ายขึ้น
2. อายุการใช้งานของยางรถยนต์
การเติมลมรถเก๋งในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ยางมีการสึกหรอน้อยลง ทำให้ยางมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น หากลมยางอ่อนหรือมากเกินพอดี ก็จะทำให้ยางเกิดการสึกหรอไวขึ้นกว่าปกติ
3. ประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง
การเติมลมรถเก๋งในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ยางมีแรงต้านการหมุนน้อยลง ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานน้อยลงและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น กลับกันหากปริมาณลมยางมีไม่เพียงพอ จะทำให้ยางมีการต้านการหมุนมากขึ้น ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนักและสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยใช่เหตุ
4. ความสะดวกสบายในการขับขี่
การเติมลมรถเก๋งในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้รถขับขี่ได้อย่างนุ่มนวลและสบายยิ่งขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากมีปริมาณลมยางไม่เพียงพอ อาจทำให้รถมีการขับขี่ที่แข็งกระด้างซึ่งอาจสร้างความรู้สึกไม่สบายตัวในขณะที่รถวิ่ง
สรุป
หวังว่าข้อมูลการเติมลมรถเก๋งที่เรารวบรวมมานี้ จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ และอย่าลืมว่าเมื่อไหร่ที่รถยนต์มีอาการผิดปกติจนไม่สามารถใช้งานได้เหมือนเคย เราควรนำรถเข้าตรวจเช็กสภาพที่อู่หรือศูนย์บริการ เพื่อตรวจสอบอาการสึกหรอของชิ้นส่วนภายในที่อาจเกิดขึ้น หากมีปัญหาหรือมีอะไรที่ต้องรีบแก้ไข เราจะได้ซ่อมแซมและเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ได้อย่างทันท่วงทีครับ อย่างไรก็ดี สำหรับลูกค้า Nissan SMT คุณสามารถขับรถเข้ามาเช็กอาการได้ที่ศูนย์นิสสัน SMT Thailand ทุกสาขา เรามีช่างผู้ชำนาญพร้อมให้บริการและให้คำปรึกษาทุกเรื่องเกี่ยวกับเครื่องยนต์
ขอบคุณข้อมูลจาก